
บรูโน่ แฟร์นานเดส นักเตะชาวโปรตุเกสวัย 27 ปี ปัจจุบันเขา คือ หนึ่งในผู้เล่นตำแหน่งกองกลางคนสำคัญของ สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ระยะเวลาที่เขาเข้ามาสังกัดยัง ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด เพียงแค่ 2 ปีของ บรูโน่ เขาได้ทำผลงานมากมายให้กับต้นสังกัด จนขึ้นแท่นเป็นนักเตะกำลังหลักของทีม ชนิดที่ว่าขาดเขาไม่ได้เลยทีเดียว ทั้งนี้ บรูโน่ แฟร์นานเดส ยังลงเล่นให้กับ ทีมชาติโปรตุเกส อีกด้วย โดยผลงานล่าสุดกับทีมชาติ เขาคือผู้นำชัยเปิดประตูไปสู่ ฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายที่ กาตาร์ ได้อย่างสำเร็จ โดยเขาได้ยิงประตู ทีมชาติมาซิโดเนียเหนือ ทีมม้ามืดไปแบบเหมาคนเดียว 2-0 ได้อย่างน่าทึ่งเลยทีเดียว และในขณะนี้ เขายังได้ต่อสัญญาฉบับใหม่กับต้นสังกัดอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2022 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการต่อสัญญาไปจนถึงปี 2026 พร้อมด้วยสัญญาเพิ่มเติม สามารถขยายสัญญาต่อได้อีก 1 ปี ทั้งนี้เขายังได้รับค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า จากเดิมเขาได้รับจากต้นสังกัดจำนวน 100,000 ปอนด์ (4.4 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ เพิ่มเป็นกว่า 240,000 ปอนด์ (10.5 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ ทำให้ตอกย้ำว่า เขาคือ นักเตะคนสำคัญของทีม ที่บอร์ดบริหารของสโมสรต้องการจะรักษาไว้อย่างมาก
ชีวิตก่อนเข้าสู่เส้นทางลูกหนัง ของ บรูโน่ แฟร์นานเดส
บรูโน่ มิเกล บอร์เกส แฟร์นานเดส (Bruno Miguel Borges Fernandes) หรือชื่อที่เรียกแบบสั้นๆว่า บรูโน่ แฟร์นานเดส เกิดเมื่อวันที่ 8 กันยายน ในปี 1994 ที่เมืองไมอา ประเทศโปรตุเกส เขามีพี่ชาย 1 คน ชื่อว่า ริคาร์โด้ ครอบครัวในวัยเด็กของเขามีฐานะปานกลาง และเป็นครอบครัวที่มีความสนใจในกีฬาฟุตบอลเป็นพิเศษ โดยพ่อของเขาเคยเป็นอดีตนักฟุตบอล แต่ก็ต้องเลิกเล่นไปกลางคัน เนื่องจากต้องทำหน้าที่เป็นเสาหลักดูแลครอบครัว ทางด้านแม่ของ บรูโน่ ก็เป็นแฟนบอลตัวยงของ สโมสรปอร์โต ส่วนเขาและพี่ชาย ก็มีความชื่นชอบในกีฬาฟุตบอลอย่างมาก
โดยเขากับ ริคาร์โด้ มักจะฝึกซ้อมฟุตบอลด้วยกันบ่อยๆ และด้วยความที่ บรูโน่ ชื่นชอบและมีพรสวรรค์อย่างมากทางด้านฟุตบอล เขาเล่นโดยไม่กลัวว่าคู่ต่อสู้ของเขาคือใคร เก่งกว่า หรือ ตัวใหญ่กว่าหรือไม่ เขาเล่นมันอย่างมีความสุขและเต็มที่อยู่เสมอ จนพี่ชายของเขาเคยกล่าวว่า “ สำหรับ บรูโน่ ไม่เคยมีแผนสำรอง เพราะเขามีความฝันเพียงแค่อย่างเดียวคือ การได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ ” โดย บรูโน่ ตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่อ เขาต้องการสานฝันของตัวเองให้เป็นจริง ด้วยการสร้างอาชีพจากการเล่นฟุตบอล เขาลาออกจากโรงเรียนทันทีเมื่อเขาจบเกรด 11 และมุ่งหน้าสู่การทำตามความฝันของเขาในทันที
เส้นทางสู่สายอาชีพลูกหนัง ของ บรูโน่ แฟร์นานเดส
ระดับเยาวชน
บรูโน่ แฟร์นานเดส เริ่มต้นจากการเป็นเด็กฝึกในอคาเดมีของ สโมสรอินเฟสต้า ในปี 2002 เป็นเด็กฝึกหัดที่ อินเฟสต้า อยู่ราว 2 ปี จนกระทั่งในปี 2004 เขาได้รับการทาบทามให้เซ็นสัญญากับ สโมสรเบาวิสต้า ซึ่งเป็นสโมสรที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่งในลีกโปรตุเกส แต่เขาก็ยังคงได้เป็นเพียงเด็กฝึกหัดที่ เบาวิสต้า เท่านั้น ยังไม่ได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ เขาฝึกหัดอยู่ที่นั่นราว 1 ปี ก่อนจะถูกปล่อยให้ สโมสรปาสตีไลร่า ยืมตัวไปในปี 2005 เป็นระยะเวลายาวนานถึง 5 ปี ก่อนจะได้ย้ายกลับมายังต้นสังกัดเก่าอย่าง เบาวิสต้า อีกครั้ง ในปี 2010
ระดับสโมสรอาชีพ
จนกระทั่งในปี 2012 เขาได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางสายอาชีพลูกหนังอย่างเต็มตัว เมื่อ สโมสรโนวาร่า สโมสรในลีกอิตาลี จากศึก กัลโซ่ ซีเรีย บี ได้ทำการซื้อตัว บรูโน่ เข้าไปร่วมทีม และเขาได้โชว์ศักยภาพและฟอร์มได้อย่างโดดเด่น จนไม่นานนักเขาก็ติดทีมชุดใหญ่ของ โนวาร่า ได้อย่างสำเร็จ ซึ่งเขาได้ลงเล่นให้กับทีมในฤดูกาลที่ 2012-13 เขาได้ลงสนามช่วยทีมไปถึง 23 นัด ผลงานของเขาเป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก เนื่องจาก บรูโน่ ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลจากบ้านเกิดไปไกลถึง อิตาลี และไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศรอบตัวที่เป็นเรื่องใหม่มากๆสำหรับเขา แต่เขากลับทำประตูให้ทีมได้ถึง 4 ประตูเลยทีเดียว

และด้วยความที่เขามีฟอร์มการเล่นที่โดดเด่น ผสานกับความมุ่งมั่นที่เขามี สโมสรอูดิเนเซ่ แห่งศึก กัลโซ่ ซีเรีย อา ซึ่งเป็นลีกที่สูงกว่ากัลโซ่ ซีเรีย บี ได้ซื้อตัวเขาไปร่วมทีมในปี 2013 ซึ่งเขาได้เริ่มลงแข่งขันในนาม นักเตะทีมอูดิเนเซ่ ในฤดูกาล 2013-14 ด้วยความพยายาม มุ่งมั่น และพรสวรรค์ที่เขามี ทำให้เขากลายเป็นนักเตะกำลังหลักของทีม โดยเขาได้ลงสนามเป็นนักเตะในสังกัด อูดิเนเซ่ นานถึง 3 ปี ลงสนามไป 86 นัด และทำประตูไปได้ 10 ประตู
เมื่อเข้าสู่ปี 2016 บรูโน่ ได้ตัดสินใจย้ายสโมสรอีกครั้ง โดยเขาได้เซ็นสัญญากับ สโมสรซัมป์โดเรีย ซึ่งเป็นสโมสรชื่อดังของศึก กัลโซ่ ซีเรีย อา ลีกอิตาลี โดยเขาได้เริ่มลงเล่นให้กับ ซัมป์โดเรีย ในฤดูกาลที่ 2016-17 และพาทีมคว้าอันดับที่ 10 ของตารางมาครองได้ในฤดูกาลนั้น โดยเขาลงสนามไป 33 นัด และยิงประตูไปได้ 5 ประตู และสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะค้าแข้งให้กับ ทัพลาซัมป์ เพียงแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น
โดยเมื่อจบฤดูกาล เขาได้ย้ายกลับไปเล่นให้กับลีกบ้านเกิด ในปี 2017 โดยตัดสินใจไปค้าแข้งให้กับ สโมสรสปอร์ติง ลิสบอน สโมสรดังแห่งศึกปรีไมราลีกา ลีกโปรตุเกส โดยเริ่มเล่นในฤดูกาล 2017-18 และ ณ สโมสรแห่งนี้นี่เอง ที่ได้เป็นจุดแจ้งเกิดของเขา ในเส้นทางสายอาชีพลูกหนัง และกลายเป็น หนึ่งในนักเตะยอดเยี่ยมของลีกยุโรป เพราะเพียงแค่ในฤดูกาลแรกของเขากับลีกบ้านเกิด เขาลงสนามไป 56 นัด และได้ทำประตูให้กับทีมต้นสังกัดไปกว่า 16 ประตู กับอีก 14 แอสซิสต์ เป็นสถิติที่น่าทึ่งอย่างมาก
และเมื่อถึงฤดูกาล 2018-19 เขาได้ระเบิดฟอร์มออกมาอีกไม่ยั้ง โดยลงสนามไป 55 นัด แต่สามารถทำประตูได้มากมายถึง 31 ประตู กับอีก 15 แอสซิสต์ ทำให้ชื่อของ บรูโน่ แฟร์นานเดส ถูกกล่าวถึงอย่างมากในวงการลูกหนังยุโรป และแน่นอนว่า เขาได้เป็นที่ต้องการของสโมสรดังๆอย่างมากมาย ซึ่งหลังฤดูกาล 2018-19 มีข่าวลือระหว่างเขากับสโมสรยักษ์ใหญ่ แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกมาอย่างหนาหู แต่ทว่าข้อตกลงเป็นไปอย่างไม่เรียบร้อยนัก จึงทำให้ดาวยิงเมืองฝอยทอง ยังคงเป็นนักเตะให้กับ สโมสรสปอร์ติง ลิสบอน ตามเดิม และเขาก็ยังคงสร้างผลงานให้กับต้นสังกัดแบบไม่ลดละ โดยในฤดูกาล 2019-20 เพียงแค่ครึ่งฤดูกาลแรก เขาลงสนามไปเพียง 27 นัด แต่เขาสามารถทำประตูให้กับต้นสังกัดไปได้ถึง 15 ประตู กับอีก 14 แอสซิสต์ด้วยกัน

(Final score: Sporting CP 2:1 Lask Linz). (Photo by David Martins/SOPA Images/LightRocket via Getty Images)
บรูโน่ แฟร์นานเดส กับเส้นทางสายลูกหนังที่ถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด
บรูโน่ แฟร์นานเดส เขาได้ระเบิดฟอร์มเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาแฟนบอลทั่วโลกกับ สโมสรสปอร์ติง ลิสบอน แน่นอนว่า ทุกสโมสรต่างมุ่งมั่นที่จะพาตัวเขาไปร่วมทีมให้ได้ รวมไปถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ปิดดีลในฤดูกาลก่อนไม่สำเร็จก็เช่นกัน ก็ได้ร่วมวงลงแข่งขันในการแย่งตัว ดาวยิงแห่งเมืองฝอยทอง ในช่วงตลาดหน้าหนาว เดือนมกราคม 2020 โดย ทัพปีศาจแดง ได้ยอมควักกระเป๋ากว่า 67 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อตัว บรูโน่ มาร่วมทีม ซึ่ง ทัพปีศาจแดง ก็ปิดดีลในครั้งนี้ได้สำเร็จ
และการได้เข้าไปเป็นนักเตะของสโมสรแห่งถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ของ บรูโน่ นั้น ก็เป็นเหมือนความสำเร็จอีก้าวที่เขาสามารถทำได้ เพราะ เขามีความใฝ่ฝันที่จะได้เข้ามาเป็นนักเตะให้กับสโมสรเก่าแก่แห่งนี้ เช่นเดียวกับแข้งรุ่นพี่เมืองฝอยทองของเขาอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เขาเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า
“ นักเตะคนอื่นๆ อาจจะมีความฝันไปค้าแข้งให้กับทีมดังอย่าง เรอัล มาดริด หรือ ทีมใหญ่อย่าง บาร์เซโลน่า แต่สำหรับผม ความฝันของผมอยู่ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมต้องการไปเล่นที่อังกฤษ ผมฝันและมีเป้าหมายเช่นนี้อยู่เสมอ ครอบครัว สโมสรสปอร์ติง ลิสบอน ต้นสังกัดของผม ทุกคนรอบตัวผมรู้เรื่องนี้ดี ”
และ บรูโน่ ก็ไม่ทำให้แฟนบอลเรดอาร์มี่ต้องผิดหวัง เมื่อเขาก้าวเขามาเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ ทัพปีศาจแดง เนื่องจากเขาสามารถช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับทีมให้กลับมาดียิ่งขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ฟอร์มตกต่ำลงไปมาก จนเขาได้ก้าวขึ้นไปสู่นักเตะกำลังหลักของทีม แม้ในฤดูกาล 2019-20 ฤดูกาลแรก ที่เขาเข้ามาค้าแข้งยังถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ทีมของเขาจะไม่สามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองได้สำเร็จ ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่อันดับที่ 3 แต่ก็เป็นการเข้ามาที่ทำให้แฟนลูกหนังทราบว่า บรูโน่ แฟร์นานเดส คือผู้ที่มาเปลี่ยนชะตาของ ทัพปีศาจแดง อย่างแท้จริง ซึ่งเมื่อจบฤดูกาลนั้น เขายังได้รับรางวัล นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรอีกด้วย แม้เขาจะเพิ่งย้ายเข้ามาสังกัดใหม่เพียงแค่ครึ่งฤดูกาลเท่านั้นก็ตาม
โดยในขณะนี้ บรูโน่ ได้เซ็นต่อสัญญากับ สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปจนถึงปี 2026 โดยเป็นการขยายสัญญาเพิ่มเติมจากเดิมที่เขาจะหมดสัญญาในปี 2023 โดยทางบอร์ดบริหาร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ได้ตอบแทนผลงานที่ บรูโน่ เคยทำให้กับ ทัพปีศาจแดง มาโดยตลอด ด้วยการเพิ่มค่าเหนื่อยให้เขาเพิ่มขึ้น 2 เท่า จากเดิม 100,000 ปอนด์ ประมาณ 4.4 ล้านบาท ต่อสัปดาห์ จะเพิ่มขึ้นมาเป็นกว่า 240,000 ปอนด์ ประมาณ 10.5 ล้านบาท ต่อสัปดาห์ อีกด้วย

บรูโน่ แฟร์นานเดส กับผลงานในระดับทีมชาติ
บรูโน่ แฟร์นานเดส ได้รับคัดเลือกให้ติด ทีมชาติโปรตุเกส ครั้งแรกในปี 2012 ในรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ในครั้งนี้ เขาได้ลงสนามไป 2 นัด แต่ไม่สามารถทำผลงานอะไรได้ในปีแรก จากนั้นในปี 2014 เขาได้ขยับรุ่น ไปเล่นในรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ลงสนามไป 5 นัด และทำประตูได้ 1 ประตูในรุ่นนี้ ต่อมาได้ขยับรุ่นไปเล่น ในรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ในปีเดียวกัน ลงเล่น17 นัด ทำประตูไปได้ 6 ประตู จนปี 2016 ได้ลงเล่นให้กับรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ลงเล่นไป 4 นัด แต่ไม่สามารถทำประตูได้
จนเมื่อปี 2017 เขาได้ขยับให้ได้ติด ทีมชาติโปรตุเกส ชุดใหญ่ เป็นครั้งแรก เนื่องจากเขาทำผลงานไว้อย่างยอดเยี่ยมให้กับ สโมสรสปอร์ติง ลิสบอน โดยเขาเล่นให้กับชุดใหญ่นัดแรก ด้วยการเป็นตัวสำรอง ลงไปแทน มานูเอล แฟร์นานเดส ก่อนจบเกมไปด้วยชัยชนะของ ทัพฝอยทอง อย่างขาดลอยในนัดนั้น
เมื่อผลงานของเขาโดดเด่น และระเบิดได้อย่างฉียบคม ในปี 2018 เขาได้รับคัดเลือกให้ไปแข่งขันในศึก ฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย แต่เขาก็ไม่ได้รับเลือกให้ลงสนามเท่าที่ควร จนกระทั่ง ทีมชาติโปรตุเกส ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปในที่สุด โดยพ่ายแพ้ให้กับ ทีมชาติอุรุกวัย ด้วยสกอร์ 1-2
จนกระทั่งในศึกฟุตบอลโลกครั้งล่าสุดในปี 2022 นี้ บรูโน่ ได้รับการคัดเลือกให้ไปช่วยทีมชาติโปรตุเกสอีกครั้ง โดยในเกมที่ ทีมชาติโปรตุเกส ต้องลงฟาดแข้งกับ ทีมชาติมาซิโดเนียเหนือ ซึ่งเป็นทีมม้ามืดที่สามารถเอาชนะ ทีมชาติอิตาลี มาได้อย่างเหนือความคาดหมาย โดย บรูโน่ ได้ระเบิดฟอร์มเทพของเขาอีกครั้งในการช่วยชาติ โดยเขาสามารถทำประตูคนเดียวถึง 2 ประตู ให้กับทีมชาติของเขา ในศึกฟุตบอลโลก 2022 ในรอบคัดเลือกเพลย์ออฟ โซนทวีปยุโรป ซึ่งจบเกม ทัพฝอยทอง สามารถเอาชนะได้ด้วยสกอร์ 2-0 สามารถคว้าตั๋วได้เข้าไปแข่งขันใน ฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายที่ ประเทศกาตาร์ ได้อย่างสำเร็จ

เกียรติประวัติ และ รางวัลที่ บรูโน่ แฟร์นานเดส เคยได้รับ
เกียรติประวัติจากสโมสรที่เคยสังกัด
สโมสรสปอร์ติง ลิสบอน
- แชมป์รายการ โปรตุเกส คัพ ในปี 2019
- แชมป์รายการ โปรตุเกส ลีก คัพ ฤดูกาล 2017-18
- แชมป์รายการ โปรตุเกส ลีก คัพ ฤดูกาล 2018-19

รางวัลส่วนตัวที่เคยได้รับ
- รางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของลีกโปรตุเกส ประจำเดือน จำนวน 6 ครั้ง
- รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของลีกโปรตุเกส ประจำเดือน จำนวน 7 ครั้ง
- รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของลีกโปรตุเกส ประจำฤดูกาล 2017-18 และฤดูกาล 2018-19
- สามารถพาทีมติด ทีมยอดเยี่ยม ในรายการ ยูโรปา ลีก ฤดูกาล 2017-18 และ ฤดูกาล 2018-19
- สามารถพาทีมติด ทีมยอดเยี่ยม ในรายการ ยูฟ่า เนชันส์ ลีก ในปี 2019
- รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของ พรีเมียร์ลีก ประจำเดือน จำนวน 2 ครั้ง
- รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประจำฤดูกาล 2019-20
- รางวัลดาวซัลโว ในรายการ ยูโรปา ลีก ฤดูกาล 2019-20